นาฏศิลป์ไทย ๑ ว่าด้วย ละครพูด![]()
ละครพูดเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์
ที่มาของภาพ : อัษฎา จรัญชล
ละครพูด
ประวัติความเป็นมา ละครพูด เป็นละครสมัยใหม่ที่ได้รูปแบบมาจากการแสดงละครตะวันตก ใช้การพูดดำเนินเรื่อง แสดงท่าทางประกอบคำพูดอย่างสามัญชน เดิมทีใช้ผู้หญิงแสดงล้วน ต่อมาใช้ผู้แสดงทั้งหญิงและชาย มีการเปลี่ยนฉากไปตามท้องเรื่อง บทละครพูดพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า-เจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์บทละครไว้หลายลักษณะได้แก่ ละครพูดปลุกใจ ละครพูดชวนหัว ละครพูดกินใจ
ละครพูด เริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงละครพูดสมัครเล่นเป็นครั้งแรก ละครพูดในสมัยนี้แตกต่างกับละครพูดในสมัยสมเด็จ-พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ในสมัยหลังเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง คือ เนื้อเรื่องละครพูดที่แสดงในสมัยนี้ ดัดแปลงมาจากบทละครรำที่เรารู้จักกันอย่างแพร่หลายในปี พ.ศ.๒๔๔๗ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ทรงสำเร็จการศึกษา และเสด็จนิวัติประเทศไทยแล้วทรงตั้ง “ทวีปัญญาสโมสร” ขึ้นในพระราชอุทยานวังสราญรมย์ ในสมัยเดียวกันนี้ได้มีการตั้ง “สามัคยาจารย์สโมสร” ซึ่งมีเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นประธานอยู่ก่อนแล้ว กิจกรรมของ ๒ สโมสรที่คล้ายคลึงกัน คือ การแสดงละครพูดแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากละครตะวันตก ละครพูดแสดงเป็นครั้งแรกที่สโมสรใดไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีส่วนร่วมในกิจการแสดงละครพูดของทั้ง ๒ สโมสรนี้ จึงได้ถวายพระเกียรติว่าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดละครพูด
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเห็นว่าเป็นของแปลก และแสดงได้ง่ายจึงทรงสนับสนุนละครพูดอย่างดียิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดที่ดีเด่นไว้เป็นจำนวนมาก และทรงร่วมในการแสดงด้วยหลายครั้ง
ละครพูดแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. ละครพูดล้วนๆ หรือละครพูดแบบร้อยแก้ว
๒. ละครแบบร้อยกรอง
๓. ละครพูดสลับลำ
ละครพูดล้วนๆ หรือ ละครพูดแบบร้อยแก้ว
วิธีการแสดง ดำเนินเรื่องด้วยวิธีพูด ใช้ท่าทางแบบสามัญชนประกอบการพูดที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะพิเศษของละครพูดชนิดนี้คือ ในขณะที่ตัวละครคิดอะไรอยู่ในใจมักใช้วิธีป้องปากบอกกับคนดู
เพลงร้อง เพลงร้องไม่มี ผู้แสดงดำเนินเรื่องโดยการพูด
ดนตรี บรรเลงโดยวงดนตรีสากลหรือปี่พาทย์ไม้นวมแต่จะบรรเลงประกอบเฉพาะเวลาปิดฉากเท่านั้น
เรื่องที่แสดง เรื่องแรกคือเรื่อง “โพงพาง” เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓ เรื่องต่อมาคือเรื่อง “เจ้าข้า สารวัด!” ทั้ง๒ เรื่องเป็นบท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังมีบทพระราชนิพนธ์ในพระองค์อีกมากมายที่นิยมนำมาแสดง
ผู้แสดง ในสมัยโบราณใช้ผู้ชายแสดงล้วนต่อมานิยมผู้แสดงชายจริงหญิงแท้
การแต่งกาย แต่งกายตามสมัยนิยม เนื้อเรื่องโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของตัวละคร
ละครพูดแบบร้อยกรอง
วิธีการแสดง ดำเนินเรื่องด้วยวิธีพูดที่เป็นคำประพันธ์ชนิดคำกลอน คำฉันท์ คำโคลง ซึ่งมีวิธีอ่านออกเสียงปกติเหมือนละครพูดร้อยแก้ว แต่มีจังหวะเน้นสัมผัสตามชนิดของคำประพันธ์นั้นๆ
เพลงร้อง เพลงร้องไม่มี ผู้แสดงดำเนินเรื่องโดยการพูดเป็นคำประพันธ์ชนิดนั้นๆ
ดนตรี บรรเลงดนตรีคล้ายกับละครพูดล้วนๆ
เรื่องที่แสดง จำแนกตามลักษณะคำประพันธ์ดังนี้คือ ละครพูดคำกลอนจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น เรื่องเวนิชวาณิช พระร่วง ละครพูดคำฉันท์ ได้แก่ เรื่องมัทนะพาธา แล้วยังมีละครพูดคำฉันท์อีกเรื่องหนึ่งที่นิยมนำมาแสดง คือ เรื่องสามัคคีเภท ของนายชิต บุรทัต ละครพูดคำโคลง ได้แก่ เรื่องสี่นาฬิกา ของอัฉราพรรณ (นายมนตรี ตราโมท)
ผู้แสดง ใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง มีบุคลิก และการแสดงเหมาะสมตามลักษณะที่บ่งไว้ในบทละคร น้ำเสียงแจ่มใส่ชัดเจนดี เสียงกังวาน พูดฉะฉานไหวพริบดี
การแต่งกาย แต่งให้เหมาะสมถูกต้องตามบุคลิกของตัวละคร และยุคสมัยที่บ่งบอกไว้ในบทละคร
ละครพูดสลับลำ
วิธีการแสดง ยึดถือบทพูดมีความสำคัญในการดำเนินเรื่องแต่เพียงอย่างเดียวบทร้องเป็นเพียงบทแทรกเพื่อเสริมย้ำความประกอบเรื่องไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ถ้าตัดบทร้องออกก็ไม่ทำให้เนื้อเรื่องของละครขาดความสมบูรณ์แต่อย่างใด คำว่า “ลำ” มาจากคำ “ลำนำ” หมายถึง บทร้องหรือเพลง
เพลงร้อง มีเพลงร้องเป็นบางส่วน โดยทำนองเพลงขึ้นอยู่กับผู้ประพันธ์ที่จะแต่งเสริมในเรื่อง
ดนตรี บรรเลงดนตรีคล้ายกับละครพูดล้วนๆ แต่บางครั้งในช่วงดำเนินเรื่องถ้ามีบทร้อง ดนตรีก็จะบรรเลงร่วมด้วย
เรื่องที่แสดง ได้แก่ เรื่องชิงนาง และปล่อยแก่
ผู้แสดง ใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง เหมือนละครพูดแบบร้อยกรอง
การแต่งกาย การแต่งกายเหมือน ละครพูดล้วนๆ หรือแต่งกายตามท้องเรื่อง
|
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น