วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

       โขนนั่งราวหรือโขนโรงนอกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชาธิบาย เกี่ยวกับโขนนั่งราวว่า " ในงาน มหรสพหลวง อย่างที่เคยมี ในงานพระเมรุ หรืองานฉลองวัด เป็นต้น คือ ที่เรียกตาม ปากตลาดว่า โขนนั่งราว "
       โขนนั่งราว นี้ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โขนโรงนอก เป็นการแสดงโขนที่ วิวัฒนาการมาจาก โขนกลางแปลง ซึ่งแสดงบนพื้นดินกลางสนามหญ้า มีต้นไม้และใบไม้ เป็นฉากธรรมชาติ เมื่อการ แสดง โขนกลางแปลงวิวัฒนาการมาเป็น โขนนั่งราว หรือ โขนโรงนอก ก็มีการปลูก โรงให้เล่นเป็นแบบ เวทียกพื้น มีความกว้างยาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหลังคากันแดด กันฝนด้วย ตรงด้านหลังของเวที ระหว่างที่พักผู้แสดง กับเวทีแสดงจะมีฉากกั้น ฉากกั้นนี้ทำเป็น ภาพนูน ๆ รูปภูเขาสองข้าง เจาะช่อง ทำเป็นประตูเข้าออก ของตัวโขน ( ในปัจจุบันนี้เวลา จะสาธิต การแสดงโขนนั่งราว มักจะใช้จอผ้าขาว โปร่ง ขึงแทน ซึ่งเป็นลักษณะของจอโขนหน้าจอ )
       สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คนเรียก การแสดงโขน ชนิดนี้ว่า โขนนั่งราวก็คือ "ราวตรงหน้าฉากห่าง ออกมาประมาณ ๑ วาจะมีราวไม้กระบอก พาดตาม ส่วนยาวของโรง ตั้งแต่ขอบประตูด้านหนึ่ง จรดขอบประตูอีกด้านหนึ่ง ตัวโขนที่เป็น ตัวเอกของเรื่อง จะนั่งบนราวไม้กระบอกนี้ แทนการนั่งเตียง เพราะโขนนั่งราว ไม่มีเตียงตั้ง เกี่ยวกับเรื่องเตียงนี้ ครูอาคม สายาคม เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ว่า โขนนั่งราว ก็มีเตียงตั้งเหมือนกัน สำหรับ ให้ตัวนางนั่ง แต่ท่านผู้รู้ ก็แย้งว่า โขนนั่งราวไม่มีตัวนาง เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องมีเตียง ให้ตัวนางนั่ง ผู้เขียนเคยอ่านพบ เกี่ยวเรื่องการแสดงโขน ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ที่จัดแสดงโขน แบบโขนหน้าจอผสม กับโขนนั่งราว จึงมีทั้ง ราวไม้กระบอกและเตียง สำหรับนั่งด้วยกัน 
       ครูอาคม ก็รวมแสดงโขน ในครั้ง คงเป็นเหตุให้ ครูอาคม จดจำนำมาเล่า ให้ผู้เขียนฟังว่า โขนนั่งราวมีเตียงด้วย ส่วนการที่ท่านผู้รู้ อ้างว่า โขนนั่งราวไม่มีตัวนาง ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะโขนนั่งราว จะต้องแสดงตอน พระรามเข้าสวนพิราพ เป็นประจำทุกครั้ง ในตอนบ่าย ก่อนวันแสดง ๑ วัน การแสดงโขน ตอนพระรามเข้าสวนพิราพ เป็นตอน ที่พระราม นางสีดา และพระลักษณ์ ในเพศดาบสออกเดินป่า แล้วหลงเข้าไปในสวน ของพิราพอสูร ดังนั้นการแสดงในตอนนี้ จึงต้องมีตัวนาง คือนางสีดา อย่าแน่นอน
       ส่วนราวไม้กระบอก ที่พาดอยู่หน้าจอโขนนั่งราวนี้ จะต้องทำขาหยั่งสูง ประมาณ ครึ่งเมตร ตั้งรับไม้ กระบอก เป็นระยะ ๆ เพื่อให้ไม้กระบอก ทรงตัวอยู่ และสามารถ รับน้ำหนักตัวโขน ที่นั่งลงไปได้ ถึงกระนั้นเวลา ตัวโขนหลาย ๆ คนนั่งลงไปบน ราวไม้กระบอกในเวลาเดียวกัน ไม้กระบอกก็ส่งเสียง ดังลั่นออดแอด ๆ ได้ยินไปถึงผู้ชม เอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของโขนนั่งราว ก็คือ ผู้แสดงโขน ทุกคน จะต้องสวมหัวโขน ปิดหน้าทั้งหมด แม้แต่ตัวพระราม พระลักษณ์ ยกเว้นแต่ ตัวนางเท่านั้น
       การแสดงโขนนั่งราว ก็ต้องมีปี่พาทย์ บรรเลงประกอบ เช่นเดียวกับ การแสดงโขน ประเภทอื่น ๆ เนื่องจากโขนนั่งราว วิวัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง การดำเนินเรื่องจึงใช้พากย์เจรจา ไม่มีขับร้อง ดังนั้นปี่พาทย์ ที่ประกอบการแสดงโขนนั่งราว จึงบรรเลงแต่เพลงหน้าพาทย์ ไม่ต้องรับร้อง ทำนองเพลง วงปี่พาทย์จะต้องมี ๒ วง โดยการปลูกร้าน
ยกขึ้น ให้สูงกว่าเวทีโขน เพื่อให้ผู้บรรเลง สามารถแลเห็น ตัวโขนได้โดยสะดวก วงปี่พาทย์ทั้ง ๒ วง นี้ แยกกันตั้งอยู่บน ร้านทางขวาวงหนึ่ง ทางซ้ายวงหนึ่ง เรียกว่า วงหัว วงท้ายหรือวงซ้าย วงขวา ปี่พาทย์ทั้ง ๒ วง จะต้องผลัดกันบรรเลง วงละเพลงสลับกันไป ตั้งแต่เริ่ม โหมโรงจนจบการแสดง เครื่องประกอบจังหวะของการแสดงโขนที่ขาดเสียไม่ได้คือ"โกร่ง" โกร่งทำด้วย ไม้กระบอกลำโต ๆ ยาวราว ๆ ๑ เมตรครึ่งเจาะรู เป็นระยะ ๆ เพื่อให้เสียงโปร่ง ไม้กระบอกนี้ ตั้งอยู่บน ขาหยั่งเตี้ย ๆ เวลาใช้ไม้กรับ ตีไปบนไม้กระบอกแล้ว ไม้กระบอก จะได้ไม่เคลื่อนที่ การตีโกร่ง ทำให้ เกิดเสียงเป็นจังหวะ ที่หนักแน่นเร้าใจ ทั้งผู้เล่นทั้งผู้ชม ผู้แสดงโขนบางคน เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาที่ ออกไปเต้น ตอนตรวจพลนั้น พอได้ยินเสียงโกร่งตีให้จังหวะแล้ว ทำให้เต้นได้อย่าง ไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย น่าเสียดาย ที่การแสดงโขนในสมัยนี้ ออกจะปล่อยปละละเลย ไม่ค่อยนำโกร่ง มาตี ประกอบกันเสียแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น